เมนู

ต่อไปเป็นธรรมดา เมื่อใด เมื่อนั้น มุนีนั้นเรียกว่า เป็นผู้ปลงภาระ
ลงแล้ว มีภาระตกไปแล้ว มีภาระอันปลดแล้ว มีภาระอันปล่อยแล้ว
มีภาระอันวางแล้ว มีภาระระงับแล้ว.

ว่าด้วยโมเนยยะ 3 อย่าง


คำว่า มุนี ความว่า ญาณเรียกว่าโมนะ ได้แก่ปัญญา ความรู้ทั่ว
ความเลือกเฟ้น ความเลือกเฟ้นทั่ว ความเลือกเฟ้นธรรม ความกำหนดดี
ความเข้าไปกำหนด ความเข้าไปกำหนดเฉพาะ ความเป็นบัณฑิต ความ
เป็นผู้ฉลาด ความเป็นผู้มีปัญญารักษาตน ปัญญาเป็นเครื่องจำแนก
ปัญญาเป็นเครื่องคิด ปัญญาเป็นเครื่องเข้าไปเห็น ปัญญาอันกว้างขวาง
ดุจแผ่นดิน ปัญญาเป็นเครื่องทำลายกิเลส ปัญญาอันนำไปรอบ ปัญญา
เป็นเครื่องเห็นแจ้ง ความรู้สึกตัว ปัญญาเป็นเครื่องเจาะแทง ปัญญา
เป็นเครื่องเห็นชัด ปัญญาเป็นใหญ่ ปัญญาเป็นกำลัง ปัญญาเป็นดัง
ศาสตรา ปัญญาเพียงดังปราสาท ปัญญาอันสว่าง ปัญญาอันแจ่มแจ้ง
ปัญญาอันรุ่งเรือง ปัญญาเป็นดังแก้ว ความไม่หลง ความเลือกเฟ้นธรรม
ความเห็นชอบ บุคคลประกอบด้วยญาณนั้น ชื่อว่าเป็นมุนี คือ ผู้ถึงญาณ
ที่ชื่อว่าโมนะ โมเนยยะ (ธรรมเครื่องทาความเป็นมุนี) มี 3 อย่า คือ
โมเนยยธรรมทางกาย 1 โมเนยยธรรมทางวาจา 1 โมเนยยธรรม
ทางใจ 1.
โมเนยยธรรมทางกายเป็นไฉน การละกายทุจริต 3 อย่าง ชื่อว่า
โมเนยยธรรมทางกาย กายสุจริต 3 อย่าง ญาณมีกายเป็นอารมณ์ ความ
กำหนดรู้กาย มรรคอันสหรคตด้วยปริญญา การละฉันทราคะในกาย

ความดับแห่งการสังขาร ความบรรลุจตุตถฌาน แต่ละอย่าง ๆ ชื่อว่า
โมเนยยธรรมทางกาย นี้ชื่อว่า โมเนยยธรรมทางกาย.
โมเนยยธรรมทางวาจาเป็นไฉน การละวจีทุจริต 4 อย่าง ชื่อว่า
โมเนยยธรรมทางวาจา วจีสุจริต 4 อย่าง ญาณมีวาจาเป็นอารมณ์ ความ
กำหนดรู้วาจา มรรคอันสหรคตด้วยปริญญา การละฉันทราคะในวาจา
ความดับแห่งวจีสังขาร ความบรรลุทุติยฌาน แต่ละอย่าง ๆ ชื่อว่า
โมเนยยธรรมทางวาจา นี้ชื่อว่า โมเนยยธรรมทางวาจา.
โมเนยยธรรมทางใจเป็นไฉน การละมโนทุจริต 3 อย่าง ชื่อว่า
โมเนยธรรมทางใจ มโนสุจริต 3 อย่าง ญาณมีจิตเป็นอารมณ์ ความ
กำหนดรู้จิต มรรคอันสหรคตด้วยปริญญา การละฉันทราคะในจิต ความ
ดับแห่งจิตตสังขาร ความบรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธ แต่ละอย่าง ๆ ชื่อว่า
โมเนยยธรรมทางใจ นี้ชื่อว่า โมเนยยธรรมทางใจ.
สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
บัณฑิตทั้งหลายได้กล่าวมุนี ผู้เป็นมุนีทางกาย เป็น
มุนีทางวาจา เป็นมุนีทางใจ ไม่มีอาสวะว่า เป็นผู้ถึง
พร้อมด้วยธรรมที่ทำให้เป็นมุนี เป็นผู้ละกิเลสทั้งปวง
บัณฑิตทั้งหลายได้กล่าวมุนีผู้เป็นมุนีทางกาย เป็นมุนี
ทางวาจา เป็นมุนีทางใจ ไม่มีอาสวะว่า เป็นผู้ถึงพร้อม
ด้วยธรรมที่ทำให้เป็นมุนี เป็นผู้มีบาปอันล้างเสียแล้ว.

บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรมที่ทำให้เป็นมุนีเหล่านั้น ชื่อว่าเป็นมุนีมี
6 จำพวก คือ อาคารมุนี อนาคารมุนี เสขมุนี อเสขมุนี ปัจเจกมุนี
มุนิมุนี. อาคารมุนีเป็นไฉน ชนเหล่าใดเป็นผู้ครองเรือน มีบทคือนิพพาน

อันเห็นแล้วมีศาสนาอันรู้แจ้งแล้ว ชนเหล่านี้ ชื่อว่าอาคารมุนี. อนาคารมุนี
เป็นไฉน ชนเหล่าใดออกบวช มีบทคือนิพพานอันเห็นแล้ว มีศาสนา
อันรู้แจ้งแล้ว ชนเหล่านี้ชื่อว่า อนาคารมุนี. พระเสขะ 7 จำพวก ชื่อว่า
เสขมุนี. พระอรหันต์ทั้งหลาย ชื่อว่า อเสขมุนี. พระปัจเจกพุทธเจ้า
ทั้งหลาย ชื่อว่า ปัจเจกมุนี พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ชื่อว่า มุนิมุนี.
สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
บุคคลไม่เป็นมุนีด้วยความเป็นผู้นิ่ง เป็นแต่ผู้เปล่า
มิใช่ผู้รู้ ส่วนบุคคลใดเป็นบัณฑิต ถือธรรมอันประเสริฐ
ละเว้นบาปทั้งหลาย เหมือนคนที่ถือเครื่องชั่งตั้งอยู่ฉะนั้น
บุคคลนั้นชื่อว่าเป็นมุนี เรียกว่ามุนีโดยเหตุนั้น บุคคลใด
ย่อมรู้โลกทั้ง 2 บุคคลนั้นเรียกว่ามุนีโดยเหตุนั้น บุคคล
ใดรู้ธรรมของอสัตบุรุษและธรรมของสัตบุรุษ ในโลก
ทั้งปวงทั้งภายในและภายนอก ก้าวล่วงธรรมเป็นเครื่อง
ข้องและตัณหาเพียงดังว่าข่ายดำรงอยู่ เป็นผู้อันเทวดา
และมนุษย์บูชาแล้ว บุคคลนั้นชื่อว่าเป็นมุนี.

คำว่า พ้นขาดแล้ว ความว่า จิตของมุนีพ้น พ้นขาด พ้นวิเศษดี
แล้วจากราคะ โทสะ โมหะ ฯลฯ อกุสลาภิสังขารทั้งปวง เพราะ-
ฉะนั้น จึงชื่อว่า มุนีนั้นเป็นผู้ปลงภาระลงแล้ว พ้นขาดแล้ว.
[699] ชื่อว่า ความกำหนด ในคำว่า ไม่มีความกำหนด ไม่
เข้ารูปยินดี ไม่มีความปรารถนา
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่าดังนี้ ได้แก่
ความกำหนด 2 อย่าง คือ ความกำหนดด้วยตัณหา ความกำหนด
ด้วยทิฏฐิ 1 ฯลฯ นี้ชื่อว่าความกำหนดด้วยตัณหา ฯลฯ นี้ชื่อว่าความ

กำหนดด้วยทิฏฐิ มุนีนั้นละความกำหนดด้วยตัณหา สละคืนความกำหนด
ด้วยทิฏฐิแล้ว เพราะเป็นผู้ละความกำหนดด้วยตัณหา สละคืนความกำหนด
ด้วยทิฏฐิ จึงย่อมไม่กำหนดความกำหนดด้วยตัณหา หรือความกำหนด
ด้วยทิฏฐิ คือ ไม่ให้เกิด ไม่ให้เกิดพร้อม ไม่ให้บังเกิด ไม่ให้บังเกิด
เฉพาะ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ไม่มีความกำหนด. คำว่า ไม่เข้าไปยินดี
ความว่า พาลปุถุชน ทั้งปวงย่อมกำหนัด พระเสขะ 7 จำพวกรวมทั้ง
กัลยาณปุถุชน ย่อมยินดี ยินดียิ่ง ยินดียิ่งเฉพาะ เพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง
เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ยังไม่ทำให้แจ้ง
ส่วนพระอรหันต์เป็นผู้ยินดี ยินดียิ่ง ยินดียิ่งเฉพาะแล้ว คือ เป็นผู้ออก
สละ พ้นขาด ไม่เกี่ยวข้อง พึงเป็นผู้มีจิตปราศจากแดนกิเลสอยู่ เพราะ-
ฉะนั้น จึงชื่อว่า ไม่มีความกำหนด ไม่เข้าไปยินดี. คำว่า ไม่มีความ
ปรารถนา
ความว่า ตัณหา เรียกว่า ความปรารถนา ได้แก่ ราค-
สาราคะ ฯ ล ฯ อภิชฌา โลภะ อกุศลมูล ความปรารถนานั้น อันมุนีใด
ละ ตัดขาด สงบ ระงับแล้ว ทำไม่ให้ควรเกิดขึ้น เผาเสียแล้วด้วยไฟ
คือญาณ มุนีนั้น เรียกว่าผู้ไม่มีความปรารถนา. คำว่า ภควา เป็นเครื่อง
กล่าวด้วยความเคารพ.
อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า ภควา เพราะอรรถว่า ผู้ทำลายราคะแล้ว
ทำลายโทสะแล้ว ทำลายโมหะแล้ว ทำลายมานะแล้ว ทำลายทิฏฐิแล้ว
ทำลายเสี้ยนหนามแล้ว ทำลายกิเลสแล้ว เพราะอรรถว่า ทรงจำแนก
วิเศษ ทรงจำแนกเฉพาะแล้ว ซึ่งธรรมรัตนะ. ชื่อว่า ภควา
เพราะอรรถว่า ทรงทำซึ่งที่สุดแห่งภพทั้งหลาย มีพระกายอันอบรมแล้ว
มีศีลอันอบรมแล้ว มีจิตอันอบรมแล้ว. อนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง

ซ่องเสพเสนาสนะอันเป็นป่าละเมาะและป่าทึบอันสงัด มีเสียงน้อยปราศจาก
เสียงกึกก้อง ปราศจากชนผู้สัญจรไปมา เป็นที่ควรทำกรรมลับของ
มนุษย์ ควรแก่วิเวก เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ภควา.
อนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีส่วนแห่งจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ
และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ภควา. อนึ่ง พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีส่วนแห่งอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา อันมีอรรถรส
ธรรมรส วิมุตติรส เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ภควา.
อนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีส่วนแห่งฌาน 4 อัปปมัญญา 4
อรูปสมาบัติ 4 เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ภควา.
อนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีส่วนแห่งวิโมกข์ 8 อภิภายตนะ
(ฌานเป็นที่ตั้งแห่งความครอบงำอารมณ์) 8 อนุปุพพวิหารสมาบัติ 9
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ภควา.
อนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีส่วนแห่งสัญญาภาวนา 10 กสิณ-
สมาบัติ 10 อานาปานสติสมาธิ อสุภสมาบัติ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า
ภควา.
อนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีส่วนแห่งสติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4
อิทธิบาท 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 อริยมรรคมีองค์ 8
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ภควา.
อนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีส่วนแห่งตถาคตพละ 10 เวสารัชช-
ญาณ 4 ปฏิสัมภิทา 4 อภิญญา 6 พุทธธรรม 6 เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า
ภควา. พระนามว่า ภควา นี้ พระมารดา พระบิดา พระภาดา พระภคินี
มิตรอำมาตย์ พระญาติสาโลหิต สมณพราหมณ์ เทวดา มิได้เฉลิมให้

พระนามว่า ภควา นี้ เป็นวิโมกขันติกนาม (พระนามมีในอรหัตผลใน
ลำดับแห่งอรหัตมรรค) เป็นสัจฉิกาบัญญัติ (บัญญัติที่เกิดเพราะทำให้แจ่ม-
แจ้งซึ่งอรหัตผลและธรรมทั้งปวง) พร้อมด้วยการทรงบรรลุพระสัพพัญ-
ญุตญาณ ณ ควงโพธิพฤกษ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหลาย ผู้ตรัสรู้แล้ว
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ไม่มีความกำหนด ไม่เข้าไปยินดี ไม่มีความ
ปรารถนา พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่าดังนี้ เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าจึงตรัสตอบว่า
มุนีนั้น กำจัดเสนาแล้วในธรรมทั้งปวง คือ ในรูป
ที่เห็น ในเสียงที่ได้ยิน ในอารมณ์ที่ทราบ มุนีนั้น เป็น
ผู้ปลงภาระลงแล้ว พ้นขาดแล้ว ไม่มีความกำหนด ไม่
เข้าไปยินดี ไม่มีความปรารถนา พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสว่าดังนี้ ฉะนี้แล.

จบมหาวิยูหสุตตนิทเทสที่ 13

อรรถกถามหาวิยูหสุตตนิทเทสที่ 13


พึงทราบวินิจฉัยในมหาวิยูหสุตตนิทเทสที่ 13 ดังต่อไปนี้.
แม้บทนี้ว่า เยเกจิเม ทิฏฺฐิปริพฺพสานา สมณพราหมณ์เหล่าใด
เหล่าหนึ่งมีความอยู่รอบในทิฏฐิ พระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อจะทรงทำความ
นั้นให้แจ้งแก่เทวดาทั้งหลาย บางพวกที่มีจิตเกิดขึ้นว่า สมณพราหมณ์
เหล่านั้น มีความอยู่รอบในทิฏฐิย่อมได้รับนินทาอย่างเดียวหรือ หรือว่า